อับดุลหาดี/31 ก.ค.68
1 เดือน "วาระกระท่อม": ยุทธศาสตร์ 3 มิติ: ผสาน ปราบปราม ฟื้นฟู สร้างความเข้าใจ สู่รากฐานชุมชน เพื่อสันติสุขที่ยั่งยืน
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา นโยบาย "120 วัน วาระพืชกระท่อม" ได้ถูกจุดประกายขึ้นในจังหวัดชายแดนใต้ ภายใต้การนำของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นี่ไม่ใช่เพียงวาระแห่งการปราบปราม แต่คือภารกิจแห่งการเยียวยา การสร้างความเข้าใจ และการปลุกพลังศรัทธาของชุมชน เพื่อปกป้องเยาวชนและอนาคตของผืนดินแห่งนี้ ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ความพยายามได้ถูกหยั่งรากลงไปในมิติต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง
ในบริบทของชายแดนใต้ "พืชกระท่อม" มิได้เป็นเพียงพืชสมุนไพร แต่คือภัยใกล้ตัวที่ซุกซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน ดังที่ นายธีรวิทย์ เฑียรฆโรจน์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง ศอ.บต. ได้ฉายภาพอย่างชัดเจนว่า "มันสุ่มเสี่ยงและเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว มันสามารถที่จะไปพัฒนาสิ่งเสพติดชนิดอื่นได้ง่าย แล้วบ้านเราก็หาได้มาก หาง่ายขายคล่อง อัตราการค้าขายสูงกว่าภูมิภาคอื่น" ความจริงที่น่าตกใจนี้เองที่ผลักดันให้เกิดวาระ 120 วันฯ ขึ้น โดยไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดจากภาครัฐ แต่เป็นเสียงสะท้อนจากรากหญ้า "จริงๆ นโยบายจะไม่เกิดขึ้นเลย แต่มันเกิดจากที่ชาวบ้านไปเอาข้อมูลไปให้ผู้หลักผู้ใหญ่ จนกระทั่งฝ่ายนโยบายเขาได้เล็งเห็นปัญหา" นายธีรวิทย์ฯ ย้ำ
หัวใจสำคัญของการเข้าถึงปัญหาคือการสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้ง หรือที่เจ้าของ สถาบันศึกษาปอเนาะตะฮ์ฟีซซุลกุรอานดารุสลาม ต.ยะหา จ.ยะลา ได้เสนอแนวคิดว่าควรให้เยาวชนได้ "รู้ซึ้ง" ซึ่งต่างจากการ "รู้" เพียงผิวเผิน "ไม่ใช่แค่รู้อย่างเดียว บางที รู้ๆ แต่ก็ยังสูบบุหรี่อีก รู้ๆ แต่ก็ยังดื่มน้ำกระท่อมอีก ถ้า รู้ซึ้ง จะซึมซาบเข้าไปในใจ สามารถปลดปล่อยได้" นี่คือการตอกย้ำบทบาทของศาสนาในการสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตวิญญาณ ที่สำคัญยิ่งกว่าการให้ข้อมูลเพียงลำพัง
เสียงที่ทรงพลังที่สุดดังมาจากนักเรียนปอเนาะเอง ผู้ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับปัญหาในทุกวัน พวกเขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า "ทุกวันนี้กระท่อมอยู่ใกล้ตัวเรา ตั้งแต่มันถูกกฎหมาย แต่มันเป็นสิ่งที่อันตราย ถึงมันจะถูกกฎหมายแต่มันเป็นไปไม่ได้ที่วัยรุ่นจะเอาไปทำในสิ่งที่ดี โดยส่วนมากจะเอาไปทำในสิ่งที่ไม่ดี ทั้งนั้น" และความปรารถนาอันแรงกล้าของพวกเขาคือ "มันจะเป็นเรื่องที่ดีมากถ้าสามารถทำให้กระท่อมกลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดเหมือนเดิม ให้วัยรุ่นได้ละเลิกในสิ่งเสพติด เบื้องต้นตอนนี้ก็อยากให้เลิกขาย" นี่คือเสียงเรียกร้องจากใจของอนาคตของชาติ ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
วาระ 120 วันพืชกระท่อม มิใช่เพียงการมุ่งเน้นที่การปราบปราม แต่คือยุทธศาสตร์แบบองค์รวมที่ครอบคลุม 3 มิติหลัก คือ การสื่อสารสร้างความเข้าใจ: ศอ.บต. และภาคีเครือข่ายลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อพูดคุยและสร้างความตระหนักรู้ถึงภัยของกระท่อม ซึ่งรวมถึงการหารือกับเจ้าของปอเนาะและชุมชน เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
การปราบปรามและควบคุม: เจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และจิตอาสา เข้ามามีบทบาทสำคัญในการตรวจค้นสแกนพื้นที่เสี่ยง ผู้เสพ และผู้ค้า เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดอย่างเด็ดขาด
การบำบัดฟื้นฟูและคืนคนสู่สังคม: นี่คือหัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ศอ.บต. ได้ลงพื้นที่ติดตามการขยายผล "มินิธัญญารักษ์" ในโรงพยาบาลชุมชนของยะลา ทั้ง รพ.ศูนย์ยะลา (15 เตียง) รพ.รามัน (6 เตียง) และ รพ.สมเด็จพระยุพราชยะหา (12 เตียง) เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการบำบัดและลดความแออัด
แม้ "มินิธัญญารักษ์" จะเป็นแสงสว่างแห่งความหวัง แต่ความท้าทายที่ใหญ่หลวงกว่าคือ การป้องกันการ "กลับไปเสพซ้ำ" หลังจากการบำบัดเบื้องต้น (ถอนพิษ) เพียง 14 วัน นายแพทย์ทินกร บินหะยีอารง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา เผยความจริงอันน่ากังวลว่า "ทุกวันนี้ หลังจากเข้ามาบำบัดที่โรงพยาบาล เมื่อกลับไปแล้ว ประมาณ 1-2 อาทิตย์ก็กลับมาอีก"
ปัญหาเกิดจากข้อจำกัดของเตียงบำบัด และที่สำคัญคือการขาด "ศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม" ที่จะช่วยดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องหลังการถอนพิษ ซึ่ง นายธีรวิทย์ฯ ย้ำว่า "ถ้าเกิดเราไม่มีกระบวนการที่ต่อเนื่อง โอกาสที่เขาจะกลับไปเสพซ้ำ โอกาสเสี่ยงมีค่อนข้างสูง" ยิ่งไปกว่านั้น นายยาห์ยา อุเซ็ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยภายนอกที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นคือ "สภาพแวดล้อม สังคม" และ "การปิดโอกาส" ที่คนในชุมชนยังคงมองผู้ผ่านการบำบัดว่าเป็น "พวกขี้ยายา" ทำให้พวกเขาท้อแท้ และหากไม่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะไปฟื้นฟูต่อในคลินิกเอกชน ก็ต้องกลับสู่บ้านที่อาจมีสภาพแวดล้อมเดิม ๆ
จากสิ่งที่ค้นพบในหนึ่งเดือนแรก บทบาทของ "ผู้นำชุมชน" และ "ครอบครัว" ได้ถูกเน้นย้ำว่าเป็น "ตัวแปรสำคัญมาก" ในการให้โอกาสและสนับสนุนผู้ผ่านการบำบัดให้ข้ามผ่านจุดที่ยากลำบากนั้นไปให้ได้ นอกจากนี้ เจ้าของปอเนาะฯ ยังได้เสนอแนวทางเชิงปฏิบัติที่สำคัญ คือ การทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และทุกส่วนในชุมชน เพื่อให้สามารถสอดส่องดูแลแต่ละพื้นที่ได้อย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น หากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจัง
ได้เปลี่ยนผู้ค้าเป็นผู้ร่วมมือ: ที่ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี คือตัวอย่างที่ชัดเจน เมื่อ ศอ.บต. ลงพื้นที่ไปพูดคุย ผู้ค้าใบกระท่อมและน้ำกระท่อม 4x100 ต่างแสดงความยินดีที่จะหยุดจำหน่าย แลกกับการได้รับการสนับสนุนส่งเสริมอาชีพ นี่คือการเปลี่ยนคู่ขัดแย้งให้กลายเป็นหุ้นส่วนในการสร้างสรรค์สังคม
กลไกปราบปรามระดับชุมชนในหลายพื้นที่ ผู้นำชุมชนได้แสดงบทบาทนำอย่างเข้มแข็ง เช่น อ.มายอ ที่จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ตัดเผาต้นกระท่อม หรือ ผู้ใหญ่บ้านป้ายแดง อ.รามัน ที่ขึ้นป้ายไม่เอากระท่อมและนำทีมโค่นต้น การที่ อ.ปะนาเระ ไม่มีร้านขายใบกระท่อมริมถนนและในชุมชนอีกต่อไป ก็เป็นผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดจากการลงพื้นที่หารืออย่างต่อเนื่อง ขณะที่ อ.ยะหา และ อ.เมืองยะลา ก็กำชับและดำเนินการกวาดล้างภายใต้แนวคิด "No Drugs No Dealers" อย่างจริงจัง รวมถึงการคุมเข้มการขายยาแก้ไอในร้านขายยาที่ ปัตตานี เพื่อป้องกันการนำไปผสมสี่คูณร้อย
เสริมศักยภาพบำบัด 'มินิธัญญารักษ์': เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการบำบัดฟื้นฟู โรงพยาบาลชุมชนใน ยะลา ทั้ง รพ.ศูนย์ยะลา (15 เตียง), รพ.รามัน (6 เตียง), และ รพ.สมเด็จพระยุพราชยะหา (12 เตียง) ได้ขยายบริการ "มินิธัญญารักษ์" อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหญ่ยังคงเป็นการป้องกันการ "กลับไปเสพซ้ำ" ดังที่บุคลากรทางการแพทย์ชี้ว่าหลายคนกลับมาบำบัดซ้ำภายใน 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากขาด "ศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม" และต้องเผชิญกับ "สภาพแวดล้อมสังคม" ที่ยังตีตราและปิดกั้นโอกาส
คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และผู้นำศาสนาในพื้นที่ต่างๆ เช่น สตูล ยะหา ได้ร่วมกันตอกย้ำผ่านคุฏบะฮ์ (เทศนาธรรม) และกิจกรรมต่าง ๆ ว่ากระท่อมคือสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) ตามหลักศาสนาอิสลามอย่างชัดเจน ชุมชนอย่าง ลางา ถึงขั้นมีการเผาใบกระท่อมเพื่อประกาศพลัง และเตรียมรวมใจปฏิเสธ "กระท่อม-สี่คูณร้อย" อย่างพร้อมเพรียง สะท้อนถึงการนำหลักศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือปลุกจิตสำนึก
ปอเนาะและตาดีกา คือปราการด่านแรก: สถาบันการศึกษาศาสนาอย่างปอเนาะและตาดีกา ได้รับการส่งเสริมให้เป็น "สถาบันศึกษาต้นแบบไม่เอากระท่อม" โดย ศอ.บต. ซึ่งรวมถึง สถาบันศึกษาปอเนาะตะฮ์ฟีซซุลกุรอานดารุสลาม ยะหา และ ปอเนาะดารุลอูโลมวิทยา ยะลา ผู้นำปอเนาะเน้นย้ำถึงการสร้าง "รู้ซึ้ง" ในหมู่เยาวชน คือการปลูกฝังความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในจิตใจ ไม่ใช่แค่การรับรู้ข้อมูล เยาวชนจากปอเนาะเองก็ส่งเสียงสะท้อนความกังวลอย่างจริงใจถึงอันตรายของกระท่อม และหวังให้มันกลับเป็นยาเสพติดอีกครั้งเพื่อปกป้องพวกเขา นอกจากนี้ ตาดีกา ยังถูกยกให้เป็นปราการด่านแรกในการบ่มเพาะเยาวชน โดยมีเยาวชนยะลา 60 ชีวิตผนึกกำลังต้านกระท่อมอย่างแข็งขัน
ผู้นำชุมชนคือหัวใจ: กำนันเปียน อ.สะบ้าย้อย ยืนยันความไม่เอากระท่อมของชาวสะบ้าย้อย และเร่งสร้าง "ปอเนาะ ปั่นสุข" ลดรายจ่ายให้ครอบครัวผู้ติดยา ขณะที่ กำนันกามารูดิง ต.มะนังยง ก็ใช้สภาสันติสุขนำหลัก 5 ประการแก้ปัญหายาเสพติด ผู้นำชุมชนและครอบครัวถูกเน้นย้ำว่าเป็น "ตัวแปรสำคัญมาก" ในการให้โอกาสและสนับสนุนผู้ผ่านการบำบัด
สร้างชุมชนต้นแบบและส่งเสริมอาชีพ: ศอ.บต. เตรียมปั้น 200 ชุมชนต้นแบบเพื่อเป็น "ชุมชนเข้มแข็งต้านกระท่อม" โดยมี อบต.บาโร๊ะ และผู้ใหญ่บ้านป้ายแดง อ.รามัน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของผู้นำที่ผนึกกำลังสู้ยาเสพติดอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือกับ รพ.ธัญญารักษ์ และสถานศึกษาอาชีวะ เพื่อสนับสนุน "อาชีวะบำบัด" ส่งเสริมอาชีพแก่ผู้ผ่านการบำบัด เช่น ทักษะช่างเชื่อม-ปูกระเบื้อง ที่บ้านแสนสุข หรือการเลี้ยงผึ้งชันโรงสร้างรายได้ให้กับผู้ผ่านการบำบัดและเด็กกำพร้า ซึ่ง "บาบอ" ก็ได้บูรณาการหลักศาสนาเข้ากับการส่งเสริมอาชีพอย่างน่าชื่นชม
ผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นของ "120 วัน วาระพืชกระท่อม" ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สะท้อนให้เห็นถึงความหวังและพลังแห่งความร่วมมือที่แท้จริง จากการปราบปราม สู่การบำบัดฟื้นฟู และที่สำคัญที่สุดคือการสร้าง "ภูมิคุ้มกัน" จากภายในด้วยหลักศาสนาและพลังชุมชน การต่อสู้กับยาเสพติดในพื้นที่แห่งศรัทธาแห่งนี้ จึงเป็นบทพิสูจน์ว่า เมื่อทุกคนผนึกใจร่วมกัน สันติสุขที่ปราศจากภัยยาเสพติดย่อมเกิดขึ้นได้ในอนาคต
หนึ่งเดือนของ "120 วัน วาระพืชกระท่อม" จึงเป็นมากกว่าการเริ่มต้นของนโยบาย หากแต่เป็นการวางรากฐานสำคัญของการทำงานที่ต้องอาศัยการผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคศาสนา ภาคประชาสังคม และพลังที่สำคัญที่สุดอย่าง "เยาวชน" ที่กล้าส่งเสียง เพื่อร่วมสร้างสังคมที่สงบสุข ปลอดภัยจากยาเสพติด และมอบโอกาสที่เท่าเทียมให้กับทุกคนในจังหวัดชายแดนใต้ได้อย่างยั่งยืน
|